|
แม้หากว่า...พระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระพุทธองค์ก็ทรง...ตัดกรรมให้ใครไม่ได้เช่นกัน
เพราะแม้แต่อัครสาวกซ้ายขวาของพระองค์ ซึ่งคือท่านพระสารีบุตรและท่านพระโมคคัลลานะก็ต้องชดใช้กรรมเช่นกัน ด้วยหลักธรรมที่ยกมาดังข้างต้น เพราะสัตว์โลกทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน ไม่มีใครก้าวล่วงได้ เปลี่ยนแปลงได้ จะมาบอกว่าได้ทำกรรมผิดไปโดยสุจริตก็เถอะ กฎแห่งกรรมเขาก็ไม่สนหรอก เพราะทุกๆ กรรมที่คุณได้ก่อขึ้น มีขึ้นแล้วมันก็มีแล้ว มีได้อย่างไร? ถ้าว่ากันแบบหยาบๆ ก็ต้องบอกว่ารู้อยู่แก่ใจด้วยตนเองนั่นแหล่ะ มันได้บันทึกไว้ในฮาร์ทดิสท์ที่มีชื่อว่ามโนสำนึก หรือจิตวิญญาณของคุณนั่นแหละ ที่มันคอยรบกวนผลุบๆ โผล่ๆ สร้างความปั่นป่วนให้จิตใจคุณอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่จะนึกถึงมันหรือพยายามจะไม่นึกถึงมันก็ตาม และไม่เพียงแต่ความรู้สึกที่มี แถมยังมีการแนบไฟล์ภาพที่คุณกระทำกรรมนั้น แล้วคุณก้อบันทึกมันไว้เองหมือนถ่ายคลิปวีดีโอเป๊ะ เพียงแต่ไม่มีซอฟท์แวร์ใดๆ ในโลกมาลบมันออกไปได้
และด้วยกรรมเหล่านี้ มันก็จะเป็นชนวนแห่งเหตุและปัจจัยต่อชีวิตในแต่ละภพชาติต่อๆ ไป ไม่ใช่เรารับรู้ไม่ได้ถึงที่มาที่ไปแห่งกรรม เพียงแต่ทำได้ยากครับ การจะรู้เห็นชาติภพกรรมเวรในอดีตชาติก็ไม่ใช่ว่าไปนั่งสมาธิแล้วจะได้เห็นทุกสิ่ง การจะเห็นต้องผ่านการวิปัสสนาให้เกิดปัญญาญาณ ได้หลุดพ้นจากอวิชชาแล้ว(ละ,วางทางโลกแล้ว) และอยู่ในระดับพระอรหันต์น่ะครับที่จะรู้เห็นภพชาติที่แท้จริงเป็นจริง...ว่ากรรมใดที่ส่งให้มีชะตากรรมในภพชาตินี้ ไม่ใช่รู้สึกว่าแบบว่าเป็นเงาดำๆ มัวๆ ลางแล้วก็ผสมกับความคิดความรู้สึกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ จะเห็นได้จิตในมันต้องใสกิ๊กจริงๆ เพราะภพชาติที่เห็นนะจะรู้ได้งัยว่าส่งผลชาตินี้ ขนาดพระพุทธองค์ท่านทรงยกตัวอย่างไว้แค่ 500 ชาติ พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบัน อดีตแก้ไขไม่ได้แล้ว แค่คุณกลับไปแก้ปัญหาชีวิตของเมื่อวันก่อนยังไม่ได้เลย นี่คือความเป็นจริงโยม
ด้วยเหตุนี้ พระองค์ทรงมีพุทธพจน์ว่า "อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" เพราะเราเองนั่นแหละที่สร้างกรรมขึ้นมาเอง และก็ต้องรับผลแห่งกรรมที่ก่อเอง โดยตัวเองเพราะตัวเองทำเพื่อตัวเองทั้งสิ้น ถ้าไม่อยากเผชิญทุกข์แห่งกรรม ท่านจึงทรงแนะนำให้เรามีศีล มีสติ ไม่เบียนเบียน สร้างบุญสร้างกุศล มีแต่กรรมดีเพื่อให้ชีวิตมีมงคลมากกว่าอัปมงคล อย่างน้อยจะได้ไม่ก่อกรรมใหม่ เท่ากับได้บรรเทากรรม เพราะอย่างน้อยไม่ต้องทำผิดเพิ่มขึ้นมาอีก |
|