|
เล่นพระ...คนละมุม
ในวงการพระเครื่องมีคำพูด (ภาษาเซียน) ซึ่งมีความหมายว่า "ปลอม" อยู่หลายคำ เช่น ชุกซัว ซาลูตู้ ดุ๊ย กระตู้ฮู้ พระไม่ถูกพิมพ์แต่เนื้อถึง พระไม่มีพุทธคุณ พระไม่มีพลัง ไม่ถึงยุค อายุไม่ถึง ไม่ถนัดพระเนื้อนี้ ผิดทาง และพระดูยาก(คำนี้อาจจะใช้ได้ทั้งเก๊ดูยากและแท้ดูยาก) หากใครได้ยินคำเหล่านี้เข้า ก็ขอให้ทำใจเผื่อไว้ล่วงหน้าด้วย เพราะการปลอมพระนั้นเป็นเรื่องที่จะประมาทไม่ได้ พระมีการพัฒนาและลงทุนมากขึ้นทุกขณะ มีมาตั้งแต่พระเครื่องเริ่มมีราคาเช่าหากัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระบางองค์มีอายุปลอมเฉียดๆ ๑๐๐ ปี เพราะพระบางองค์เจ้าของได้รับการสืบทอดมาจากคนรุ่นทวด แต่เจ้าของพระลืมไปว่าการปลอมพระมีกันมาตั้งแต่คนรุ่นทวดเช่นกัน อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย จะพยายามสร้างมาตรฐานให้วงการพระเครื่องโดยมีการออกใบรับรองพระแท้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นที่ยอมรับเสมอไป โดยเฉพาะการไม่ยอมรับของ "ชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยาม" ซึ่งมี นายกล้า เกษสุรินทร์ชัย เป็นประธาน ถึงขนาดกับมีการเปิดฝึกอบรมส่องพระสมเด็จพร้อมมอบไปรษณียบัตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นเกียรติว่าเป็นผู้รู้จริงๆ ไม่ใช่รู้เพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น ขณะเดียวกันยังมีการจัดพิมพ์หนังสือ "พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม จักรพรรดิแห่งพระเครื่องไทย" ความหนากว่า ๔๐๐ หน้า สี่สีทั้งเล่มเข้าเล่มเย็บกี่อย่างดี วางจำหน่ายตามแผงหนังสือชั้นนำ แม้ว่าเซียนพระของสมาคมพระเครื่องจะระบุว่าเป็นการเล่นพระผิดทาง รูปพระสมเด็จที่จัดพิมพ์ในหนังสือเป็นพระที่วงการไม่เล่นกัน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยสนใจการเล่นพระและซื้อหนังสือในแนวของชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยาม
นายกล้าบอกว่า ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้เล่นพระมีมาอย่างต่อเนื่อง ข้อเท็จจริงในการจัดสร้างพระสมเด็จวัดระฆังของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่าท่านลงมือสร้างเมื่อใด แต่ก็มีผู้สันนิษฐานที่แอบอ้างว่ามีการสร้างจำนวนน้อย เช่น อ้างว่ามี ๔ พิมพ์ทรง แต่ละพิมพ์ทรงมีเพียง ๔-๕ แบบบล็อกแม่พิมพ์เท่านั้น ซึ่งมีปัญหาว่าทั้งๆ ที่ผู้แอบอ้างว่ารู้ดีนั้นก็เกิดไม่ทันเหมือนกัน ทำไมจึงไม่คิดว่าแนนการเล่นของกลุ่มตนเป็นการเล่นในแนวที่คับแคบ หลงผิด หรือเล่นเพื่อผูกขาดตัดตอน เคยคิดบ้างไหมว่าแนวทางที่เล่นนั้นผิด ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการทำลายบล็อกแม่พิมพ์อื่นๆ ที่สมเด็จโตสร้างขึ้นมา อย่างไรก็ตามจากการรวบรวมของชมรม พิมพ์ทรงของพระสมเด็จ เฉพาะพิมพ์ทรงใหญ่เท่าที่รวบรวมมีบล็อกแม่พิมพ์มากถึง ๙๒ พิมพ์ พิมพ์ทรงเจดีย์มีบล็อกแม่พิมพ์ ๘ พิมพ์ พิมพ์เกศบัวตูมมีบล็อกแม่พิมพ์พิมพ์ 3 พิมพ์ พิมพ์ฐานแซมมีบล็อกแม่พิมพ์ ๖ พิมพ์ พิมพ์ทรงเส้นด้ายมีบล็อกแม่พิมพ์ ๓ พิมพ์ พิมพ์ทรงปรกโพธิ์เจดีย์มีบล็อกแม่พิมพ์ ๒ พิมพ์ และพิมพ์ทรงอกครุฑเศียรบาตรมีบล็อกแม่พิมพ์เพียง ๑ พิมพ์ ใครว่าพระสมเด็จที่สมาชิกทางชมเล่นเป็นของปลอม หากมีพระเหมือนรูปภาพตามรูปในหนังสือ โดยเฉพาะพระสมเด็จพิมพ์ทรงใหญ่ ตั้งแต่แม่พิมพ์ที่ ๑-๑๓ ที่บันทึกไว้ในหนังสือ เพียงนำพระมาให้ดูเฉยๆ เอาค่ารถค่าเสียเวลาไปเลย ๑ หมื่นบาท ไม่จำเป็นว่าจะต้องเช่าบูชา และหากเปิดราคาให้เช่าในราคาหลักล้านก็มีผู้ยินดีเช่าบูชา" ทั้งนี้นายกล้าพูดทิ้งท้ายไว้อย่าน่าคิดว่า "พระแท้ไม่แท้อยู่ที่องค์พระไม่ได้อยู่ที่คนดู ผู้ที่ได้รับพระเครื่องที่เป็นมรดกตกทอดจากปู่ ยา ตา ยาย รวมทั้งผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ หากนำพระที่ห้อยอยู่ไปให้เซียนพระดูแล้วบอกว่าเป็นพระไม่ถึงยุค ก็อย่าคิดถอดพระหรือไม่แขวนพระองค์นั้นเลย ให้คิดเสียว่าเซียนตาไม่ถึง หรือมีความรู้ไม่มากพอ และให้คิดเสียว่าพระองค์นั้นๆ เป็นของที่ระลึก ผู้ให้มีเจตนาดี พระทุกองค์สามารถใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจได้เสมอ"
ทางใครทางมัน ในวงการพระเครื่องมีความขัดแย้งเรื่องพระเครื่องตลอดเวลา (กรณีน่าเบื่อจังเลยค่ะ คำนี้หละน่าจะชัดเจนตรงประเด็น ทางใครทางมัน คุณอยู่ของคุณไปอย่ามายุ่ง ) อย่างกรณี “พระถ้ำเสือ กรุวัดเขาดีสลัก” แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ "เซียนบางกลุ่มยอมรับว่าแท้ แต่อีกหนึ่งกลุ่มบอกว่าเก๊" เลยกลายเป็นพระมีปัญหา ถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่านายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริงพระถ้ำเสือกรุวัดเขาดีสลัก และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุพรรณบุรี เคยเปิดให้บูชาหาเงินสร้างกุศลมาแล้วองค์ละ ๕,๐๐๐-๖,๐๐๐ บาท เมื่อเกือบสิบปีที่ผ่านมา แต่เซียนพระยังไม่ยอมรับอยู่ดี "ความเห็นไม่ตรงกัน หรือความชอบไม่ตรงกันเป็นเรื่องธรรมดาของทุกวงการไม่เฉพาะแต่วงการพระ ข้อถกเถียงและข้อขัดแย้งของพระรุ่นหนึ่งรุ่นใดเกิดขึ้นกับวงการพระเครื่องมาตลอด ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ในช่วงจตุคามรามเทพได้รับความนิยม บางคนเลือกเก็บเฉพาะที่หลวงหนุ่ยเป็นเจ้าพิธี ในขณะที่อีกกลุมหนึ่งเล่นของสายโกผ่อง รวมทั้งเลือกเก็บเฉพาะจตุคามฯ ที่จัดสร้างจาก จ.นครศรีธรรมราชเท่านั้น ใครชอบแนวไหนก็เล่นแนวนั้น การสะสมพระเครื่องเป็นความชอบส่วนบุคคล ที่สำคัญเราไม่ได้เป็นเจ้าของเงินอย่าไปเดือดร้อนแทนเขา" นี่เป็นความเห็นของนายวันชัย สอนมีทอง ประธานฝ่ายประสานงานสื่อมวลชนสมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย
ด้าน พ.อ.อ.โกวิท แย้มวงษ์ หรือที่รู้จักกันในนาม "จ่าโกวิท" บรรณาธิการนิตยสาร "พระเครื่องอภินิหาร" และเจ้าของ www.jarkowit.com ผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการพระเครื่องมากว่า ๓๐ ปี บอกว่า เรื่องของการเล่นพระเป็นเรื่องของนานาจิตตัง ชอบใครชอบมัน การที่จะบอกว่าเป็นการเล่นพระผิดทางนั้นเป็นเรื่องอยาก เพราะต่างฝ่ายก็ต่างบอกว่าแนวทางที่กลุ่มของตนเล่นนั้นถูกต้อง อย่าว่าแต่คนภายนอกสมาคมเลย แม้ในสมาคมจะรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันแต่ก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกรณีพระถ้ำเสือ กรุวัดเขาดีสลัก พระขุนแผน หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ กลุ่มเซียนพระในท้องถิ่นเล่นแบบหนึ่ง ส่วนเซียนพระในกรุงเทพฯ เล่นอีกแบบหนึ่ง
อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบการเล่นพระระหว่างชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยาม กับสมาคมพระเครื่อง สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยามจะเน้นไปที่ลักษณะของวิชาการ พระเครื่องพิมพ์ทรงและรุ่นเดียวกัน นอกจากมวลสารเหมือนกันแล้วขนาดต้องเท่ากันทุกองค์ (กว้าง ยาว หนา) ส่วนสมาคมเล่นในลักษณะปฏิบัติ ความแท้จริงของพระอยู่ที่เซียนเป็นผู้ชี้ขาด ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ใครที่บอกว่าชมรมนักอนุรักษ์สะสมพระเครื่องสยามเล่นพระเก๊ แต่ชมรมนี้ก็ประกาศเช่าพระที่เซียนบอกว่าเก๊มาตลอด โดยพร้อมที่จะเช่าซื้อในราคาหลักล้าน ที่สำคัญคือแค่เอาพระมาให้ดูก็ได้ค่าน้ำมันรถและค่าเสียเวลา ๑๐,๐๐๐ บาททันที แต่ปรากฏว่าไม่มีใครหาพระมาให้เช่าได้เลย/คมชัดลึก
Cho's Talk: ชอบคำว่า 'ทางใครทางมัน' น่าจะเป็นบทสรุปได้ชัดเจน อย่ามายุ่งมาเกี่ยวกันเลย ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมาริษยากัน จริตใครชอบทางไหนก็ว่ากันไปตามนั้น.. |
|
|