|
ตอบกลับ 229# bestkrab
สมาธิที่คุณนั่งนั้นต้องถามก่อนว่าต้องการอะไร แบ่งง่ายๆ มี 2 แบบ(ผมคิดเองนะ)
แบบแรกแบบสมถะ คือกำหนดให้อยู่ในอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่ง เช่น กำหนดลมหายใจ
กำหนด ยุบหนอ พองหนอ ส่วนคำภาวนา ก็แล้วแต่ความชอบที่ถูกจริต เช่นพุทธโธ สัมมาอรหัง ,...
ถ้านั่งไม่ถูกจริต อาจลองเปลี่ยนเป็นเดินบ้าง(ต้องเข้าใจนะครับ จิต บังคับไม่ได้ แล้วเราก็ทำให้จิตบรรลุไม่ได้
แต่ถ้าเหมาะสมทุกอย่างจิตจะบรรลุเองครับ)
ส่วนอีกแบบ เป็นแบบนั่งรู้สึกตัว หรือเดินรู้สึกตัว ให้นั่งแบบสบายๆ จะกำหนดแบบสมถะก็ได้
เช่นพอเราพุทธโธ ไปเรื่อยๆ แล้วใจไปนึกถึงข้าวเย็นก็ ให้รู้ตามอารมณ์ปัจจุบันนั้นว่าใจหลงไปคิดแล้ว
คือลืมพุทธโธ หรือภาวนาแล้ว ใจหงุดหงิด ก็ให้รู้ทันว่าใจเกิดโทสะ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ไปรอรู้ หรือเรียกอีกอย่าง
ว่าเพ่งไป ...จะรู้ได้ยังไงว่าเพ่ง ให้ดูใจดูกายจะรู้สึกว่าแน่นๆ เวลาเกิดหลง หรือโทสะ หรือกิเลสอย่างอื่น
ไม่ต้องไปดึงนะครับ ปล่อยให้ใจคิดไป ถ้ารู้ด้วยความเป็นกลาง กิเลสมันจะดับเอง นะครับ ถ้าดึงกลับ เช่นเวลาโกรธ
แล้วเรา ไปกดข่มเอาใว้ เราจะรู้สึกแน่นๆ จุกๆ ให้ดูต่อไปว่าอยากไปชกหน้าเขา ก็ให้รู้ว่าอยาก ชกหน้า(ยังไงก็ถืดศีล 5 ใว้แล้วกัน)
แบบนี้เรียกว่าการฝึกสติ ให้เห็นสภาวะธรรม พอชำนาญ ก็จะเกิดสติอัตโนมัติ จะเห็นเกิดดับ เป็นช็อดๆเลยครับ
เท่านี้ก็ก้าวเข้าสู้วิปัสสนาญาณแล้วครับ
ส่วนกรณีสมถะนั้น พอจิตสงบ ถึงญาณ 2 ขึ้นไปก็เดินวิปัสสนาต่อได้เหมือนกัน แต่พวกเดินญาณเก่งๆ จิตจะเข้าสู่ญาณ
3 บางคนต่อที่ญาณ 4 แต่จริงๆแล้ว แค่ญาณ 2 ก็ใช้ได้แล้ว เพราะไม่มีวิตกวิจารณ์แล้ว สามารถมารู้กายหรือรูืจิตก็ได้
แล้วแต่อารมณ์ญาณครับ
อย่าเครียสครับพี่น้อง |
|