ตอนแรกๆก็ไม่มีความเชื่อถือเรื่องไสยศาสตร์ซักเท่าไหร่ แต่พอมาครั้งหนึ่ง
ครูกันถามว่า.“ วันนี้อ้วนอยากกินอะไร ” ก็ตอบท่านไปว่า..“อยากกินชมภู่มะเหมี่ยว”
ท่านก็แสดงวิชาที่เรียกว่าชักยันต์กลางอากาศยันต์ที่ท่านทำเป็นยันต์ไซเรียก
ทรัพย์ แต่เป็นการเขียนยันต์ขึ้นบนอากาศ
ยามทำท่านก็เอามือขีดๆเขียนๆบนอากาศนั่นแหละแล้วเป่าไป
จากนั้นก็นัดท่านให้มากินชมภู่มะเหมี่ยวตอนเย็น แปลกแต่จริงพอตกเย็นท่านมาตามนัด
ชมภู่มะ้เหมี่ยวที่ต้องการก็มาเพราะอยู่ๆ ศิษย์ท่านนำมาถวาย
มันก็น่าแปลกแต่จะบังเอิญหรือเปล่าก็บอกไม่ได้ ยังไม่แน่ใจนัก
ต่อมาอีกคราวหนึ่งครูกันต์ถามว่าวันนี้ที่บ้านมีสะเดาน้ำปลาหวานกับกุ้งเผากินไหม
ครูอยากกิน อาจารย์อ้วนก็รีบวิงไปถามแม่ว่าครูกันต์ท่านอยากกินแบบนี้แม่มีไหม
แม่ก็ตอบมาว่าหน้านี้มันไม่มีสะเดามันไม่หรอก
ก็รีบวิ่งไปบอกครูกันท่านว่ามันไม่มี
ครูกันต์ก็บอกว่าไม่เป็นไรจากนั้นก็ใช้วิชานี้อีกคือเขียนยันต์ไซกลางอากาศ
แล้วเป่าออกไป จากนั้นก็นัดให้อาจารย์อ้วนมากินด้วยกันในตอนเย็น
ในใจคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกจะมีมาได้อย่างไร
แต่แล้วพอตอนเย็นไปบ้านครูกันต์ก็พบความอัศจรรย์ใจเพราะมีลูกศิษย์เอาน้ำปลาหวานสะเดา
กับ กุ้งเผามาให้ครูกันต์ท่านจริงๆอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะการสื่อ สารสมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้จะว่าท่านโทรศัพท์ไปบอกลูกศิษย์ให้ซื้อมาให้ก็ เป็นไปไม่ได้โทรศัพท์สมัยนั้นก็ยังไม่มีมีแต่โทรเลขเท่านั้นซึ่งถ้าใช้ โทรเลขก็ต้องใช้เวลาอยู่หลายวันทีเดียว จึงเป็นเรื่องอัศจรรย์ในวิชาอาคมอย่างยิ่ง คราวนี้อาจารย์อ้วนหรือเด็กชายอ้วนในครั้งนั้น
เชื่อถือเรื่องไสยศาสตร์อย่างสนิทใจคิดในใจว่ามันเป็นสิ่งที่มีจริง
แต่อย่างไรก็ตามวิชชานี้อาจารย์อ้วนท่านไม่ได้เรียนมาเนื่องจากมีกฎข้อบังคับว่า
ผู้ที่จะเรียนวิชานี้ได้ต้องเป็นผู้ทีไม่ประกอบอาชีพการงานใดๆ
ทั้งต้องไม่ใส่รองเท้าไม่ว่าไปที่ไหนๆ
ครูกันต์ท่านก็ไม่ประกอบอาชีพอะไรเลยและท่านก็ไม่ใส่รองเท้าสักครั้งเลยเช่น
กันท่านทำได้ ท่านว่าวิชานี้เรียนแล้วไม่รวยแต่ก็ไม่มีวันอดอยาก เป็นวิชาที่ครูกันต์ท่านได้เรียนสืบต่อวิชามาจากหลวงพ่อเคน วัดถ้ำเขาอีโต้ ปราจีนบุรี